เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ก.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราดูชีวิตเรานะ ชีวิตเรานี่เราเกิดมามีวาสนา คำว่ามีวาสนาเพราะอะไร เพราะว่ามันเหมือนคนเป็นไข้ คนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมันมียารักษาโรคได้ แต่ทางโลกดูสิ เวลาศาสนาเขาเปลี่ยนแปลง เห็นไหม เมื่อก่อนนั้นเขาบอกว่าโลกนี่เป็นโลกแบน โลกนี่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง เวลาวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ขึ้นมาแล้ว ความไม่เชื่อนี่มันปั่นป่วน มันสะเทือนใจเขามากนะ

เวลาคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เขาคิดของเขาได้เรื่องโลกกลม เห็นไหม เวลามันปั่นป่วนเพราะอะไร เพราะเราถือคติกันมา แล้วเราโดนลบล้างด้วยวิทยาศาสตร์ไง คิดดูสิ คนนี่เชื่อกันมาเป็นหลายชั่วอายุคน แล้วโดนลบล้างไปอย่างนั้น

เราจะบอกว่า “ยา” ยาที่รักษาโรคได้ไง เราเป็นชาวพุทธ เรามียาที่รักษาโรคได้ รักษาโรคได้นะ โรคอะไร โรคเกิด โรคแก่ โรคเจ็บ โรคตายไง เราไปมองกันข้างนอกว่าเราเป็นโรคเป็นภัย โรคภัยไข้เจ็บนี่ เรารักษาหายแล้วเราจะดีใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้น่าคิดมากนะ “ผู้ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”

คนเรานี่เกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วยน้อย เราจะไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล เราจะไม่ต้องไปทนทุกข์นะ เราไปดูสิ ญาติเรา ลูกเรา พ่อแม่เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราไปเฝ้า เห็นไหม ถ้าโรครักษาหาย มันก็ชั่วคราว ดูสิในโรงพยาบาลนะ เขารักษากันไม่ได้ก็รักษาประคองอาการกันไป นี่เพราะโลกเจริญ เวลาทุกข์ เวลาเป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมานี่จะทุกข์ยากนะ ได้แต่มองหน้ากัน ได้แต่ปลอบใจกัน เห็นไหม นี่โรคกรรม

ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ที่ว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายแล้วลบล้างได้แล้ว เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ วันคืนนี่ ราตรีเดียว ผู้ที่มีราตรีเดียวเพราะอะไร เพราะมันไม่มีวันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสฯ หรอก วันทำการเราก็ทำการ เห็นไหม วันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของเรา พอวันเสาร์วันอาทิตย์ เรามีวันพักผ่อน เรามีวันหยุดของเรา นี้มันเป็นสมมุติ สมมุติโลกขึ้นมาด้วยความคิดของนักปราชญ์ เพื่อจะให้การทำงานของเราได้พักผ่อน โลกหยุดๆ พร้อมกัน ถ้าต่างคนต่างวัฒนธรรม การหยุดไม่เหมือนกัน

ระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจต้องให้เหมือนกัน ต้องมีคุณค่าเท่ากัน เราอยากเจริญไปกับเขา เราอยากจะมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องการที่พึ่งที่อาศัย เราก็พึ่งที่พึ่งที่อาศัย สิ่งนี้ก็อาศัยได้ อาศัยโดยสมมุติ สิ่งใดสมมุติไง

นี่ว่ามันมีราตรีเดียว ไม่มีวันทำการและไม่มีวันทำการ มัน ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน โลกหมุนไปเหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกันนะ ใจมันเป็นปกติไง มันไม่ตื่นเต้นไปตามเขา มันก็ไม่ไปตามกระแสใช่ไหม ดูสิ เวลาปลุกกระแสติด เห็นไหม เวลาเขาปลุกม็อบกัน ถ้าติดแล้วนะคุมได้ยากมาก คนตื่นนี่มันจะไปประสามันเลย นี่ดูเราเห็นม็อบใช่ไหม?

ธุรกิจการค้าก็เหมือนกัน แรงโฆษณา แรงต่างๆ ถ้าสินค้าตัวไหนติด มันก็เป็นไป นี่ตามกระแส เราไปซื้อสินค้ากัน เราไปใช้จ่ายกัน มันเป็นความที่มันไม่จำเป็นนะ ดูสิ ดูอย่างโยม เห็นไหม เสื้อผ้าเราหามากันเท่าไหร่ พระนี่นะมีผ้าจีวรผืนเดียวนะ ออกบิณฑบาตก็ผืนนี้ ออกกิจกรรมที่ไหนก็ผืนนี้ ผ้า ๓ ผืนทำไมอยู่ได้ล่ะ? แต่ของเรานี่ เราไปตื่นกระแสตามโลกไปไง

แต่ถ้าเป็นราตรีเดียว มันไม่ตื่นกระแสไปตามโลก ปัจจัยเครื่องอาศัย มันปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็ดำรงชีวิต มันจะไม่ไปตื่นกับโลก มันก็เข้ามาเรื่องกรรม ดูสิ ดูอย่าง กกต.โดนตัดสินจำคุก เห็นไหม ผู้ที่มีอำนาจเวลาทำความเสียหาย มันทำเสียหายทั้งสังคมนะ ผู้ที่มีอำนาจเห็นไหม

แล้วเราบอกว่าเวลาผลของกรรม นี่เขาทำอะไรเขารู้ของเขา แล้วเวลาตัดสินเข้าไปแล้ว เขามีความทุกข์ของเขาไหม เขามีความทุกข์ของเขา แต่เวลาเราคิดกัน ทำไมเขาทำกรรมแล้วกรรมจะไม่ให้ผล มันให้ผลแล้วไง สิ่งที่ให้ผลเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน การกระทำของเรานะ กรรมมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม เวลาเราเกิดขึ้นมา คนทำที่ว่ากรรมยังให้ผล เขาก็ยังทำให้สังคมแปรปรวนไปตลอดเวลา แต่ถ้าคนดีขึ้นมา ดูในหลวงสิ ในหลวงท่านออกมาประชาสัมพันธ์อะไรของท่าน ในหลวงไม่เคยประชาสัมพันธ์ตัวเองนะ แต่พวกเราเคารพในหลวงเพราะอะไร เพราะในหลวงทำจริงด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อความเจริญของจริง

เวลาผู้มีอำนาจ ถ้ามีอำนาจโดยธรรมมันทำให้โลกร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามีอำนาจขึ้นมา เห็นไหม แล้วเรื่องของกรรม ทำชั่วแล้วทำไมเขายังเชิดหน้าชูตาของเขาได้ เขาทุกข์ร้อนของเขาไป แล้วเวลากรรมให้ผลเขาต้องให้ผลไป แล้วพวกเรานี่เป็นรากหญ้า แล้วทำไมเราต้องมารับผลอันนี้ด้วยล่ะ รับผลอันนี้มันเป็นสภาคกรรม

คนถามบ่อยมาก “เวลาเครื่องบินตก เขามาต่างคนต่างถิ่นเขามา ทำไมมาอยู่เครื่องบินลำเดียวกัน ทำไมไปตกไปตายพร้อมกัน” มาจากคนละจุดคนละแดนนะ แต่มาอยู่เครื่องบินลำเดียวกันก็ตกพร้อมกันนะ นี่เวลากรรมมันให้ผล เห็นไหม ต่างคนต่างมา แล้วมาขึ้นเครื่องบินต้องไปตกเหมือนกัน ต้องไปตายพร้อมกัน แล้วเขาทำกรรมมาพร้อมกันเหรอ? สิ่งที่ทำกรรมพร้อมกัน มันเป็นการกระทำมาตั้งแต่เขาเคยสะสมมาไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน สภาคกรรม เราเกิดมาร่วมสมัยกัน เวลาสังคมมีปัญหาไป เราก็ต้องร่วมรับสังคมอย่างนี้ไป เห็นไหม นี่เกิดเป็นญาติกันโดยธรรม เรามีปากมีท้องเหมือนกัน เราต้องกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนกัน แล้วกินอิ่มนอนอุ่นของใคร? วัฒนธรรมของใคร? ความเห็นของใคร?

สิ่งที่เป็นสภาวะแบบนั้นมันเรื่องของกรรมนะ แล้วเรามาย้อนกลับมาที่เรา ถ้าเราอยู่ในสังคมใด เราสภาวะสิ่งใด เห็นไหม เห็นเขาทำคุณงามความดี ถ้ามันสะเทือนหัวใจนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ถ้าคำพูดนี้สะเทือนหัวใจเรา เรามีโอกาสเพราะอะไร?

เหมือนเด็ก เด็กนี่เวลามันเล่นของมัน มันเพลินของมัน ถ้าผู้ใหญ่เตือนแล้วมันยังเถลไถลอยู่ มันยังไม่มีความรู้สึก ถ้าเด็กมันฟังของมันว่าสิ่งนั้นมันเป็นโทษ มันจะไม่ทำ นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของเราเหมือนเด็กๆ ความคิดของเรามันว่าสิ่งนั้นถูกต้องของมัน มันเห็นสภาวะสิ่งนั้นเป็นความดีของมัน มันพอใจของมัน เห็นไหม เพราะมันพอใจ ตัณหาความทะยานอยากมันฉุดกระชากลากไป

เวลาธรรมจะเข้าไปสะเทือนหัวใจ เห็นไหม มันจะปล่อยได้ มันจะวางได้ไง ถ้าเราฟังธรรมแล้วสะเทือนหัวใจ ขนลุกขนพอง น้ำตาไหลเลยนะ ถ้ามันสะเทือนหัวใจ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่ตรงนั้นไง เราจะแก้ความผิดความถูกได้ มันต้องแก้จากความนึกคิดของเรา

แล้วเวลาเราเห็นสังคม ถ้าสังคมที่มันเป็นสภาวะแบบนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เพราะมันมืดมันบอดในหัวใจไง มันมืดมันบอดในหัวใจนะ นี่เชิดหน้าชูตากัน แล้วก็ฉุดกระชากลากไปสภาวะของเขา แต่ถ้าเราฟังธรรมของเราแล้วสะเทือนหัวใจของเรา เราเป็นคนดี เราเป็นคนมีโอกาสไง มันสะเทือนหัวใจ

ถ้ามันสะเทือนหัวใจขึ้นมามันจะคิดอะไร มันคิดดีคิดชั่วนี่ มโนกรรมมันเกิดก่อน มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจมันเป็นต้นเหตุ ใจเป็นประธาน ใจเป็นคนคิด ใจเป็นคนโลภมาก ใจเป็นคนทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยร่างกายมันก็รักษากันไปอย่างนั้นล่ะ แต่เวลาหัวใจ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ “เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยให้ป่วยคนเดียวนะ ให้ร่างกายมันเจ็บป่วยไป แต่หัวใจอย่าไปเจ็บป่วยกับมัน อย่าเจ็บป่วย ๒ คน ร่างกายก็เจ็บป่วย หัวใจก็เจ็บป่วย”

ถ้าหัวใจเจ็บป่วยไปด้วย มันทำให้เราวิตกกังวลไป มันกลับทุกข์ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ แต่ถ้าร่างกายเป็นสภาวะแบบนั้น เวลาเราสุขทำไมเราพอใจล่ะ เวลามันทุกข์ทำไมเราปฏิเสธล่ะ สิ่งที่ไม่พอใจเราปฏิเสธตลอดเลย เห็นไหม ตัณหา วิภวตัณหา พอใจก็เป็นตัณหา วิภวตัณหาก็เป็นตัณหา เพราะมันปฏิเสธไง

มันปฏิเสธไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้เพราะอะไร เพราะผลที่เราทำมา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเพราะเราทำมานะ ดูสิเวลาคนที่เขาออกกำลังกายตอนเช้า เห็นไหม เขาออกกำลังกายของเขาไป เขาจะแข็งแรงของเขา สุขภาพเขาจะดี ไอ้เราไม่ทำอะไรเลย นอนจมอยู่กับความพอใจของเรา แล้วจะให้ร่างกายเราแข็งแรง มันจะแข็งแรงไปได้ไหมล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันเข้มแข็งมันสร้างสมมา นี่ให้มีทาน มีศีล มีภาวนา ใครเคยภาวนา ใครเคยใช้ความคิดมันจะมีปัญญา ถ้ามีปัญญาเราจะไม่เป็นเหยื่อใครเลย ไม่เป็นเหยื่อของกระแสนะ แล้วไม่เป็นเหยื่อกับกิเลสของเราเองด้วย ไม่เป็นเหยื่อกับตัวเราเองด้วย ถ้าไม่เป็นเหยื่อเพราะอะไร?

เพราะมันมีสติไง สติสัมปชัญญะ เรายับยั้งของเราได้ พอยับยั้งของเราได้ เห็นไหม ต้นโพธิ์ต้นไทรนกกาจะอาศัยนะ เป็นผู้นำที่ดี มันจะทำให้สภาวะกรรม กรรมของสังคมมันดีขึ้น ดูสังคมหมู่ใดสิ ถ้าหัวใจหมู่บ้านนั้นดี ผู้เฒ่าในสังคมนั้นดี ผู้เฒ่าเขาจะเป็นหลักของหมู่บ้านนั้น เขาจะเชื่อฟังกันนะ เขาเคารพกันด้วยวัฒนธรรม

แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้คิดกันแต่ว่าใครมีหน้ามีตา มีหน้ามีตามันประชาสัมพันธ์มาก็ได้ มันเป็นมีหน้ามีตาโดยสัจธรรมความจริงก็ได้ สิ่งนี้มันเป็นความจริงนะ ความจริงจากภายนอก ความจริงจากภายใน ถ้าเป็นผู้เฒ่าหัวใจของเราล่ะ?

เวลาเราแก่เราเฒ่าขึ้นมา มันแก่เฒ่า แล้วดูสิ ความคิดของเราตั้งแต่เด็กๆ จนปัจจุบันนี้ มันแก่เฒ่าไหม ความคิดไม่มีเคยแก่นะ ใจนี้ไม่เคยแก่นะ เพราะอะไร เพราะเราตายไปเราก็ไปเกิดใหม่นะ จิตนี้ปฏิสนธิตลอดเวลา ไม่เคยเว้นวรรค ไม่เคยว่าง จิตนี้ไม่เคยว่างเลย มันมีความรู้สึก ความรู้สึกนี้ปฏิเสธไม่ได้ แม้แต่นอนหลับมันก็ฝันนะ

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจ จิตมันจะพักของมัน ถ้ามีปัญญาขึ้นมา มันจะเป็นหลักของมัน เห็นไหม เราเองก็เป็นหลักของตัวเราเองได้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ตนก็ไม่แบกรับภาระ

ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ หานะ หาเพื่อสังคมมหาศาลเลย แล้วท่านแบกรับภาระไหม เสร็จแล้วก็แล้วกัน ท่านอยู่กับปัจจุบันตลอด ท่านจะมีความสุขตลอด เราไปยึดเหนี่ยวอดีตอนาคตนะ ห่วงอดีตอนาคต ถ้าในปัจจุบันดี เราจะดีตลอดไปนะ ในปัจจุบันนี่ดี

ศาสนาสอนอย่างนี้ไง ศาสนาพุทธของเรามันเป็นปัจจุบันนะ แล้วดูสิ เวลาในธรรมวินัยจะเหมือนคลื่นทะเล มันจะพัดสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นไปบนฝั่ง มันจะไม่ให้อยู่ในท้องทะเลนั้น นี่เหมือนกัน ภิกษุที่ประพฤติปฏิบัตินะ เป็นผู้ออกรบ เห็นไหม ถ้าศีลธรรมดี การกระทำดี มันจะอยู่ในทะเลที่ดี ถ้ามันทำสิ่งไม่ดีนะ เป็นสิ่งที่เศร้าหมองมันจะพัดเข้าหาฝั่ง พัดเข้าหาฝั่งไปตลอดเวลา หรือไม่มันก็ผุกร่อนไปในทะเลนั้น

กรรมก็เหมือนกัน เราอย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจ ดูสิ ดูว่าเขาทำกันอย่างนั้น แล้วทำไมเขามีผลสภาวะแบบนั้น กรรมมันจะให้ผล สิ่งที่กรรมมันจะให้ผล เห็นไหม ดูทางวิทยาศาสตร์ เวลาตัดสินต้องเป็นอย่างนั้น เพื่อสังคมจะร่มเย็นเป็นสุข คนพาล คนเกเรไม่ให้อยู่ในสังคมนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราก็ไม่ต้องการให้อยู่สังคมนั้น แต่เราก็ไม่ทำลายกรรมใหม่ตลอดไปไง ให้มันจบกันสิ้นไป แล้วถ้าถึงเวลาของเขา กรรมนั้นจะให้ผลเขาตลอดไป สังคมพุทธเราให้เชื่อกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สิ่งที่เราทำคุณงามความดีมา ถ้าเราไม่ทำคุณงามความดีมานะ เราจะไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกว่ามันรู้สึกถึงคุณค่าของตัวตนเราไง

ถ้าตัวตนเรา เห็นไหม อยู่บ้านมันหมักหมม มันจะมีความสุขอะไร ถ้าเราออกไปเสียสละ เราไปเสียสละ เราไปฟังธรรม มันก็ได้ผ่อนคลาย มันได้เปิดเอาสิ่งหมักหมมในหัวใจออกไป มันจะมีความสะดวกสบาย ชีวิตคุณค่ามันอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่ความสุขในครอบครัวของเรา พ่อแม่ปู่ย่าตายายยิ้มแย้มแจ่มใส ความสุขมันอยู่ที่ใจ ความสุขสิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นความสุขด้วยอามิส สิ่งที่อาศัยด้วยอามิสนะ เราไปอาศัยมัน เราไปกระทบกระเทือนมัน มันถึงจะมีความสุข กับความสุขในปัจจุบันนี้ไง

ถ้าความสุขในปัจจุบันนี้นะ นี่คุณค่าของใจ วัดคุณค่าพูดด้วยความสุขนะ สิ่งต่างๆ ที่เขาล่อทางโลกจะไม่สามารถจะมาล่อเราได้เลย แล้วเราจะไม่ตื่นไปกับกระแสเขาเลย ประเทศชาติของเราจะมั่นคงเพราะเรามั่นคง ในครอบครัวเรามั่นคง ในความเห็นของเรามั่นคง แต่สังคมมันจะปั่นป่วน เราก็มองออกไปนะ

นี่กรรมของเขา เขาสร้างกรรมมาอย่างนั้น ดูบางครอบครัว เห็นไหม เขาจะมีปัญหาของเขาตลอดเวลาเลย ปัญหาของเขา เขาสร้างของเขามา แล้วถ้าปัจจุบันนี้สิ่งนั้นมันเป็นอดีตมา ถ้าในปัจจุบันเขาแก้ไขตรงนี้นะ ทุกคนถ้ายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก มีโอกาสแก้ไข เมื่อใดแผ่นดินกลบหน้าหรือขึ้นเชิงตะกอนแล้วนะ จิตออกไปแล้วนี่ เราหมดโอกาส

พอหมดโอกาส จิตมันไปเกิดใหม่ พอไปเกิดสถานะใหม่ ถ้าไปเกิดบนสวรรค์นะ มันก็เพลินไป ถ้าไปเกิดในนรก สิ่งนั้นก็บีบคั้นเรา เห็นไหม มันได้สถานะใหม่ มันจะเป็นปัจจุบันนี้ไหม มันจะมีโอกาสอย่างนี้ไหม ถ้ามีโอกาสอย่างนี้ เรามีโอกาสของเรา เราทำไมไม่ขวนขวาย พอที่ว่าเราตายไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ แล้วจะไปแก้ไขเอาใหม่นะ อันนั้นเป็นความฝันนะ

ความจริงคือสภาวะกรรมที่สร้างมา มันจะบังคับตลอดไป แต่ความฝันเราก็คิดว่าเมื่อนั้นจะทำดีอย่างนั้น ถึงเวลานั้นเราจะทำดีอย่างนั้น มันคิดไปอนาคตไง ในปัจจุบันยังไม่ทำเลย อนาคตนะมันเป็นสถานะใหม่ ดูสิ ดูอย่างคนเกิดใหม่ นี่สถานะใหม่ แล้วคนเกิดใหม่ แต่ถ้ามันมีบุญมานะ มันให้เข้ามาถึงตัวเขาเองไง นี่คุณค่าของเราคือคุณค่าของใจ มันแก้ไขกันได้ที่นี่ แก้ไขได้ปฏิสนธิจิต จิตในหัวใจของเรา ถ้าเราแก้ไขได้นะมันจะไม่เกิดอีก มันจะไม่มีเชื้อขับไสไง แล้วคนที่ไม่มีเชื้อขับไส

ดูสิ ดูอย่างพลังงานที่มันนิ่งอยู่นะ กับพลังงานที่มันพุ่งไปตลอดเวลา อันใดจะมีความสุขกว่ากัน พลังงานที่พุ่งออกไปคือจิตที่มันมีแรงขับ แรงบุญแรงกรรมนี่มันขับไสไปตลอดเวลา กับสิ่งที่พอ จิตที่พอ ที่มีพลังงานแล้วไม่เคลื่อนที่เลย นี่วิมุตติสุข แล้วใครเป็น? กระดาษหรือตำราหรือข้อเขียนใดๆ ไม่เป็น หัวใจที่ทุกข์อยู่นี่เป็น

หัวใจที่ทุกข์อยู่นี่นะ ถ้ามันทำให้สะอาดได้มันเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ มันจะไม่ขับเคลื่อนอีก มันจะมีความสุขขนาดไหนเทียบเคียงเอาสิ แล้วพลังงานนี้อยู่ที่เราในปัจจุบันนี้ ถ้าแก้ไขเดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าไม่แก้ไขเดี๋ยวนี้ก็อาศัยแต่พลังงานขับเคลื่อน แล้วก็วิ่งกันไปนะ ทุกข์นะ ทุกข์ร้อน เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปเกิดบนสวรรค์นะ ไม่อยากไปเลยเพราะอะไร เพราะมันต้องไปอยู่ที่นั่น เวลามันนานไง

แต่เราอ่านตำรากัน เราว่าที่นั่นเป็นสุข สวรรค์เป็นสุข อยากไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แต่เทวดาเขาก็อยากเกิดเป็นมนุษย์กัน เพราะอะไร เพราะได้ฟังธรรม ได้มีร่างกายบีบคั้นไง เวลามันหิว เวลามันกระหาย มันเป็นความทุกข์ แต่ถ้าเป็นทิพย์นะ เวลานึกมันก็อิ่มทันที สิ่งนี้เพราะมีร่างกาย เพราะมีจิตใจ ถึงทำให้เราตื่นตลอดเวลาเพราะอะไร เพราะโรคหิวมันบีบคั้นเราตลอดเวลา เราต้องหาเลี้ยงมันตลอดเวลา ฉะนั้นถ้าทุกข์สุขมันก็เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา มันเตือนเราได้ไง

คนที่ไม่มีคัทเอาท์เตือน ไม่มีเซฟทีคัทคอยคัดหัวใจ เขาจะไม่มีโอกาส เรามีตลอดเวลา ว่าศาสนาสติเตือนตลอดเวลา แต่เราประมาทกันนะ เราประมาทชีวิตนะ ชีวิตเราไปเห็นแต่หน้าที่การงาน ใช่! หน้าที่การงานมันเป็นหาปัจจัย แต่ชีวิตนี้มันมีโอกาสขนาดไหน เราทำได้ๆ เราอย่าประมาทในชีวิต ชีวิตมีคุณค่ามาก เอวัง